Lo-Fi Hip Hop ฮิปฮอปสไต์สายชิลเป็นยังไง
ถ้าคุณกำลังทำงานอยู่ในออฟฟิศที่วุ่นวาย หรืออยากจะโฟกัสกับหนังสือตรงหน้าให้ได้ก่อนที่จะสอบในอีกไม่กี่วัน เราก็มักจะเลือกฟังเพลงที่แล้วผ่อนคลายมากกว่า หลายคนอาจเลือกเสียงจากธรรมชาติทั้งเสียงฝน เสียงในสวนหรือเสียงในร้านกาแฟสร้างบรรยากาศที่ไม่กดดันเราจนเกินไป แต่หลายคนเพิ่งค้นพบว่ามีดนตรีอีกแนวหนึ่งที่ผ่อนคลายเราได้ดีอย่างน่าประหลาด แถมยังฮิตกันอยู่บน YouTube ตอนนี้นั่นคือ lofi hip-hop
Lo-Fi คืออะไร
คำว่า “Lo-Fi” นั้นย่อมาจาก “Low Fidelity” หมายถึง กระบวนการผลิตเพลงด้วยการบันทึกเสียงที่ไม่ได้พิถีพิถันหรือมีคุณภาพมาก ซึ่งเสียงดนตรีนั้นอาจไม่ได้มีความคมชัด มีเสียงรบกวน (Noise) ของเครื่องดนตรีบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าความไม่สมบูรณ์แบบของเสียงดนตรีทำให้เพลงประเภท Lo-Fi หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า DIY Music นั้นมีเสน่ห์ ที่ทำให้ผู้ฟังเหมือนต้องมนต์สะกดเข้าไปในวังวนที่ชวนหลงใหล ชวนเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองและจังหวะของเพลง.
ที่มาที่ไปของดนตรีประเภท “Lo-Fi” นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1960 ยุคที่เครื่องดนตรีหรืออุปกรณ์บันทึกเสียงในขณะนั้นไม่ได้มีคุณภาพสูงเฉกเช่นปัจจุบัน อีกทั้งศิลปินส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักหยิบอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยากในการผลิตผลงานเพลง มาใช้ในการบันทึกซิงเกิล หรือ อัลบั้มเล็ก ๆ ที่มีแค่ 4-5 เพลง อาทิ ผลงานของพอล แมคคาร์ทนี (Paul McCartney) ในอัลบั้ม McCartney,1970 เป็นต้น
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1990 – 2000 ในยุคที่เพลงฮิปฮอป (Hip-Hop) เฟื่องฟู ด้วยรูปแบบการร้องด้วยคำพูดที่รวดเร็ว กระชับ ดนตรีที่มีจังหวะสนุก เสียงเบสที่ต่ำและกว้าง ชวนขยับแข้งขยับขาโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะของเพลง
เรียกได้ว่าในช่วง 1990 – 2000 นั้นเครื่องดนตรีไฟฟ้าได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการทำผลงานเพลง อาทิ กลองไฟฟ้า คีย์บอร์ดไฟฟ้า ผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าศิลปินในการทดลองสร้างเสียงดนตรีที่แปลกใหม่ ซึ่งเรียกได้เป็นจุดที่วงการเพลงมีแนวเพลงที่หลากหลายมากขึ้น การผุดขึ้นมาของเพลงประเภทต่าง ๆ นั้น ทำให้เหล่านักฟังเพลงได้สัมผัสเสียงดนตรีที่แปลกใหม่ ไม่เว้นแม้แต่เพลงแบบ “Lo-Fi” ที่พัฒนาตัวเองไปตามการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของโลก
Lo-Fi Music มันคืออะไร
เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกลไปมากขึ้นทุกวัน ของวงการเพลงก็ด้วย ที่เรามี Platform การฟังเพลงที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่แผ่นเสียง เทป แผ่นซีดี จนมาหยุดที่ Music Streaming ในยุคนี้ และอาจจะมีอะไรล้ำ ๆ ก้าวไกลไปกว่านี้ก็ได้ แค่ Platform ยังก้าวกระโดดไปไกลขนาดนี้ คุณภาพของการทำเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งเทคโนโลยีการทำเพลงไปไกลเท่าไหร่ เรายิ่งทำให้เพลงมีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในห้องอัด แทบไม่มีเสียงอื่นแทรก เสียงลมจากการร้องของนักร้อง เสียง Noise ที่เป็นเสน่ห์ของแผ่นเสียง ได้ถูกตัดทิ้งและจางหายไปในวันที่เราพัฒนาคุณภาพการทำเพลงขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็น Hi-Fidelity หรือ Hi-Fi ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง
ที่เล่ามาซะกว้างไกล คือจะบอกว่า Lo-Fi Music มันอยู่ตรงข้ามกับ Hi-Fi นั่นแหละ หมายความว่า มันคือดนตรีที่ถูกอัดด้วยเครื่องมือคุณภาพไม่เจ๋งนัก ด้วยเทคโลยีที่จำกัดในสมัยก่อนด้วย ด้วยความที่เครื่องมือทำเพลงสมัยก่อนราคาไม่ใช่ว่าจะเอื้อมถึงกันได้ทุกคนด้วย นักดนตรีและคนทำเพลงหลาย ๆ คนจึงเลือกใช้ของที่ราคาถูกลงมาหน่อย แต่คุณภาพมันก็ด้อยลงมาตามราคานั่นแหละ เลยทำให้เพลงในช่วงนั้นกลายเป็นเพลงที่ความถี่ต่ำ มิติน้อย มีเสียงรบกวนเต็มไปหมด ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกดิบเอามาก ๆ และเต็มไปด้วยความไม่เพอร์เฟ็กต์เต็มไปหมด
ทำไมมันถึงกลับมาฮิต
ก่อนหน้านั้นดนตรี Lo-Fi ที่ถือกำเนิดมาด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในหลายแนวเพลง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็น Indie ที่นิยมให้ความดิบของเพลงมาเป็นจุดเด่น ซึ่งอาจจะไม่ได้เหมือน Lo-Fi ที่เราได้ฟังกันในช่วงปีสองปีนี้ เพราะที่เราได้ฟังช่วงนี้คือ Lo-Fi Hip Hop ที่มีบีทนุ่มลึก และยังคงได้ยินดนตรีที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาด้วย ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้มีแค่ Hip-Hop อย่างเดียว แต่ยังมีกลิ่นอายของ Blues, Jazz เข้ามาเพิ่มความนุ่มลึกให้กับเพลงอีกด้วย แต่เป็นเวอร์ชั่นบีทบาง ๆ ไม่ได้มีมิติอะไรมาก แถมยังมีเสียง Noise เข้ามาแทรก แต่มันกลับเป็นอะไรที่เข้ากันเหมือน Cookie and Cream เอามาก ๆ ก็เพราะเพลงและแฟชั่นมันเป็นอะไรที่วนกลับมาเสมอนั่นแหละ
อีกอย่างคือ ในวันที่เราไปไกลกับเพลงคุณภาพเยี่ยมอย่าง Hi-Fi จนมันตันแล้ว ทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์ไปหมดแล้วสำหรับตอนนี้ เราเลยหันกลับมาหาอะไรที่มันไม่เพอร์เฟ็กต์ดูบ้าง เพราะความไม่เพอร์เฟ็กต์มีเสน่ห์ในตัวมันเองอย่างปฏิเสธไม่ได้ มันคงเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ดีเหมือนกันที่เราจะได้ฟังเพลง Lo-Fi บน Gadgets ที่รองรับ Hi-Fi แบบเต็มตัว
ถ้าจะให้ดี แนะนำให้ฟังช่วงทำงาน อ่านหนังสือ หรือตอนก่อนนอน เพื่อ Relax ตัวเองในช่วงที่ต้องการสมาธิและความผ่อนคลายนั่นเอง หากใครที่ยังไม่ได้ลองฟังแบบตั้งใจกับมัน เตรียมหูฟังของคุณให้พร้อม และเตรียมตัวเตรียมใจที่จะจมดิ่งลงไปในบีทนุ่มลึก ที่แม้ไม่ได้มีมิติทางดนตรีมากนัก แต่ในมิติของ Feeling เราจะจมลงไปกับมันแบบหาทางออกไม่เจอเลยล่ะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก